19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา พิธีลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ 2 ฝ่าย ระหว่าง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) โดย นายพิพัฒน์ ขันทอง กรรมการ บมจ.ทีโอที รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ กับ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมเตรียมติดตั้งเสาสัญญาณ 4G/5Gที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งพัฒนานำความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 4G/5G กับความก้าวหน้าระบบการแพทย์และอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านบริการสาธารณสุข (Public Healthcare) และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (Health Tech) ของประเทศไทย พลิกโฉมวิถีชีวิตทั้งของคนไทยและคนทั่วโลก
นายพิพัฒน์ ขันทอง กรรมการ บมจ.ทีโอที รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ทีโอที ยินดีที่ได้ร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีผลงานและความก้าวหน้าทั้งทางวิชาการและเครื่องมือทางการแพทย์ ที่เป็นประโยชน์ โดยร่วมกันวิจัยและพัฒนาเพื่อนำเทคโนโลยี 4G และเทคโนโลยี 5G ย่านความถี่ mmWave ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านความถี่ที่เป็นที่สนใจระดับสากล เน้นการใช้งานในพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้งานสูงหรือมีความต้องการอัตราข้อมูลที่สูงมาร่วมพัฒนา สร้างประโยชน์สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการสาธารณสุขให้กับประเทศ ได้อย่างเท่าเทียม และสามารถลดความเหลื่อมล้ำของสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล เพื่อให้บริการ Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกลด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมประเทศให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ โดยนักวิจัยรุ่นใหม่แทนการใช้เทคโนโลยีต่างประเทศ โดยเทคโนโลยี 4G / 5G จะสร้าง Big Data ขนาดใหญ่ในการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของ 2 ฝ่าย ระหว่าง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันผนึกกำลังท่ามกลางกระแสยุคดิสรัพชั่น สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพความแข็งแกร่งทางด้านโทรคมนาคมและการศึกษาวิจัย รวมถึงการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนากำลังคน บุคลากร นักวิจัยและนักศึกษา ให้มีองค์ความรู้และทักษะทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายกับการแพทย์และอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงการนำระบบสารสนเทศ Network มาใช้ในการพัฒนาด้านการสาธารณสุข (Public Healthcare) และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ (Health Tech) ในประเทศไทย นับเป็นการยกระดับการสื่อสารเพื่อขับเคลื่อนประเทศและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการสื่อสาร โดยประหยัดพลังงานและต้นทุน นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ และที่สำคัญช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยให้เข้มแข็งอีกด้วย
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ มีระยะเวลา 5 ปี โดยระยะแรกจะเป็นการนำระบบเทคโนโลยี 4G ของ ทีโอที มาสนับสนุนระบบสารสนเทศในการติดต่อต่อสื่อสารของ Mobile Stroke Unit ภายในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั้งนี้ เป็นรถพยาบาลเคลื่อนที่รักษาโรคหลอดเลือดสมอง (Mobile Stroke Unit) ซึ่งเป็นนวัตกรรมจากความร่วมมือของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและสามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ทำให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทำงานร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการลดอัตราการเสียเสียชีวิตและพิการของผู้ป่วย รวมถึงการติดตั้งเสาสัญญาณสื่อสาร 4G/5G ในพื้นที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตลอดจนบริการสถานีน้ำมัน ปตท. 4 แห่ง รวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีความเร็วสูงด้านการสาธารณสุข อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ การวิจัยด้านการแพทย์ เพื่อตอบโจทย์เพิ่มขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมเฮลท์เทคของประเทศ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมที่จะร่วมทำงานและสนับสนุนความก้าวหน้าเชิงวิชาการกับทีโอที ทั้งในทางทฤษฎี ทักษะปฏิบัติและ Soft Skills ด้วยองค์ความรู้และห้องปฏิบัติการที่ก้าวล้ำมากมาย เช่น 1. ศูนย์บ่มเพาะและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม (Innogineer Studio) เปรียบเสมือนเวิร์คช็อปบ่มเพาะนวัตกรรมและสตาร์ทอัพครบครันเครื่องมือไฮเทคที่เปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีและเมคเกอร์สามารถเข้ามาทำโปรเจคต่าง ๆ สร้างชิ้นงานและต้นแบบจากความคิดสร้างสรรค์จากความฝันสู่ความเป็นจริง 2. Innogineer BAY ศูนย์ฝึกหัดด้านหุ่นยนต์และระบบ AI ที่ทันสมัยระดับโลก 3. Digital Forensics Lab ศูนย์นิติวิศวกรรมและการสืบค้นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 4. BART LAB ศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ 5. University-Industry Co-Working Space ศูนย์บริการนวัตกรรมและให้คำปรึกษาแก่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม 6. ศูนย์ LogHealth นอกจากนี้คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ยังได้ศึกษาวิจัยและออกแบบพัฒนาระบบโลจิสติกส์โรงพยาบาล และดำเนินการจัดทำแผนแม่บทระบบ Big Data เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารภาคสาธารณสุขของประเทศ (Healthcare Logistics Big Data) ตลอดจนห้องปฏิบัติการและศูนย์วิจัยที่เชี่ยวชาญก้าวล้ำของคณะต่างๆ ใน ม.มหิดล อีกด้วย รวมทั้งโครงการในอนาคต อาทิเช่น ศูนย์ทดสอบเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์, ศูนย์หุ่นยนต์การแพทย์ระดับสูง เป็นต้น