ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการหาลู่ทางในการเป็นนายตัวเองด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ด้วยเหตุผลในแง่ของไลฟ์สไตล์ อิสระทางด้านเวลา ความคิด อีกทั้งยังเป็นอีกความท้าทายบทหนึ่งในชีวิตด้วย และหนึ่งในธุรกิจที่กำลังได้รับความสนใจก็คือการเปิดเช่าห้องพักในรูปแบบ “เกสเฮาส์” แต่การจะเปลี่ยนบ้านเรา ให้กลายเป็นห้องพักของเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด วันนี้เราจึงรวบรวมเอาประเด็นที่น่าสนใจ และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเปิดเกสเฮาส์มาฝากกัน
เกสเฮ้าส์คืออะไร ต่างจากที่พักแบบอื่นอย่างไร
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจประเภทที่พักที่มักมีคนเข้าใจผิด หรือจำสับสนกันที่สุด 3 ประเภทว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
- เกสเฮาส์
- เกสเฮาส์ จัดอยู่ในประเภทที่พักขนาดเล็ก ที่เจ้าของบ้านนำมาปรับปรุง ดัดแปลง หรือสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้บริการเป็นที่พักแรมแก่นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่มักจะราคาไม่สูง มีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็น และมีจำนวนห้องไม่มากนัก
- โฮสเทล
- ถึงแม้ว่าโฮสเทลจะจัดอยู่ในประเภทที่พักราคาประหยัดเหมือนกันกับเกสเฮาส์ แต่โฮสเทลจะมีลักษณะคล้ายกับหอพักเพื่อให้สามารถรองรับผู้เข้าพักได้จำนวนมาก โดยในหนึ่งห้องสามารถรองรับได้ตั้งแต่ 4 6 8 10 และมากที่สุดถึง 12 คนต่อห้องเลยทีเดียว
- โฮมสเตย์
- ส่วนที่พักอีกประเภทที่คนมักจะเข้าใจสับสนกับเกสเฮาส์อยู่เสมอ นั่นคือที่พักประเภทโฮมสเตย์ โดยโฮมสเตย์นั้นเป็นที่พักที่เจ้าของบ้านทำการดัดแปลงเพื่อเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน แต่โฮมสเตย์มักจะให้ความรู้สึกเป็นการอยู่เหมือนเป็นเจ้าของบ้าน มีการจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วม และได้เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านโดยรอบ
เสน่ห์ของเกสเฮ้าส์
แม้จะไม่หรูหรา ใหญ่โต หรือไม่สะดวกสบายเท่ากับเวลาไปพักที่โรงแรม แต่เกสเฮาส์นั้นก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่สามารถหาไม่ได้จากที่พักประเภทอื่น ด้วยความที่เจ้าของดัดแปลงบ้านมาเป็นที่พัก จึงใช้ต้นทุนน้อยกว่ารีสอร์ท หรือโรงแรมขนาดเล็ก จึงมีความโดดเด่นในเรื่องราคาที่ไม่สูงมาก ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าพักได้ รวมถึงบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเองเหมือนอยู่บ้าน และทำเลที่เข้าถึงง่าย เพราะส่วนใหญ่เกสเฮาส์มักอยู่ในย่านชุมชน หรือเมืองท่องเที่ยว เพื่อรองรับลูกค้า หรือนักท่องเที่ยวแบบ backpacker
7 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเปิดเกสเฮ้าส์
กลุ่มลูกค้าเป็นใคร
กลุ่มลูกค้าของที่พักประเภทเกสเฮาส์ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว มีทั้งแบบ backpacker และนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการท่ีพักที่เดินทางสะดวก ในราคาสบายกระเป๋า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของเกสเฮาส์ด้วยเช่นกัน ถ้าหากตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย อาจจะมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักศึกษามาเช่าพักในระยะยาว แต่หากอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ก็จะมีฐานลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเข้าพักในระยะสั้นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ก่อนจะตัดสินใจเปิดเกสเฮ้าส์เราจึงต้องวางกลุ่มเป้าหมายให้ชัด เพื่อเราจะได้กำหนดทิศทางการทำธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เลือกทำเลที่ใช่มีชัยไปกว่าครึ่ง
ทำเลในการสร้างเกสเฮาส์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องใกล้แหล่งท่องเที่ยว หรือมีทิวทัศน์ที่สวยงามเสมอไป แต่ทำเลที่เหมาะสมนั้นควรเป็นที่ที่เดินทางเข้าถึงได้อย่างสะดวก ขนส่งสาธารณะเข้าถึงได้ รวมถึงถนนหนทางไม่ซับซ้อนเกินไปนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เข้าพักมักจะไม่ใช่คนแถวนั้น จึงไม่คุ้นเคยกับเส้นทางเป็นทุนเดิม หากเกสเฮาส์ของเราเดินทางไปยาก ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวมาเข้าพักน้อยลงไปด้วย
หาจุดขายให้แตกต่าง
เจ้าของเกสเฮาส์หลายคนให้ความสำคัญกับสไตล์การตกแต่งมากเสียหมดงบประมาณไปกับส่วนนี้มากเกินจำเป็น ความเป็นจริงแล้วแม้สไตล์และความสวยงามของที่พักจะทำให้เราดูโดดเด่น และแตกต่างได้ก็จริง แต่การตกแต่งที่เรียบง่ายอาจส่งผลดีกว่าในระยะยาว ลองหยิบเอาความธรรมดาของธรรมชาติรอบตัวมาเป็นจุดเด่นในการตกแต่งก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนอกจากจะดูสบายตาแล้วยัง ให้ความอบอุ่น ง่าย งาม แถมยังไม่ตกเทรนด์ง่ายๆ อีกด้วย
สะอาด สะดวก สบาย คือหัวใจของการให้บริการ
เจ้าของเกสเฮาส์หลายคนโฟกัสผิดจุด ให้ความสนใจในเรื่องของความสวยงาม และการแข่งขันเรื่องราคาจนลืมหัวใจสำคัญของการให้บริการอย่างความสะอาด ความสะดวก และความสบายของผู้เข้าพัก ถ้าเจ้าของกิจการใส่ใจเรื่องภาพรวมของการบริการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความสะอาด ความพร้อมของอุปกรณ์ และสถานที่ ความกระตือรือร้นในให้บริการ การยิ้มแย้มแจ่มใส รวมถึงความเป็นมิตรในการดูแลลูกค้าแล้วล่ะก็ จะทำให้ลูกค้าความประทับใจในประสบการณ์ที่ดี และ มีการแนะนำให้คนอื่นๆ มาใช้บริการเกสเฮาส์ของเราเพิ่มขึ้น
เรื่องความปลอดภัยไม่ควรมองข้าม
นอกจากการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเข้าพักแล้ว ความปลอดภัยในทรัพย์สินของแขกผู้มาเข้าพักก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถือเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่นักท่องเท่ียวใช้พิจารณาเลือกพี่พัก ทางเกสเฮาส์ควรจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีกล้องวงจรปิดไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่โดยรอบที่พัก นอกจากนี้ยังควรจัดให้มีล็อกเกอร์เพื่อเก็บของสำคัญ หรือของมีค่าในห้องพักทุกห้องด้วย
ต้องวางแผนการเงินให้ดี
นอกเหนือจากข้อควรรู้ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกเรื่องที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงิน สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบ้านพักให้เป็นเกสเฮาส์ต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบ โดยการจัดสัดส่วนของค่าใช่ง่ายให้เหมาะสม จากนั้นให้กันค่าใช้จ่ายที่จำเป็นออกมาก่อน อย่าลืม! บริหารเงิน และจัดทำบัญชีรายจ่ายโดยละเอียด เพื่อให้การใช้จ่ายในแต่ละส่วนไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
เรื่องกฎหมายก็เป็นสิ่งสำคัญ
การทำธุรกิจเกสเฮาส์ เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะการจะดัดแปลง ที่พักอาศัยให้กลายเป็นที่พักแรมได้นั้น หากเป็นที่พักขนาดเล็กไม่เกิน 4 ห้อง และรองรับผู้เข้าพักไม่เกิน 20 คน จะเป็นเพียงกิจการสนับสนุนรายได้เสริมเท่านั้น ไม่จัดว่าเป็นโรงแรม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำการแจ้งให้นายทะเบียนทราบตามที่กฎหมายกำหนด
แต่หากเป็นเกสเฮาส์ขนาดกลางที่มีห้แงพักให้เช่ามากกว่า 4 ห้อง จะต้องทำการยื่นเรื่องขอเปลี่ยนประเภทการใช้งานอาคารจากครัวก่อนพักอาศัยเป็นการขออนุญาตทำธุรกิจโรงแรมตามกฎกระทรวงกำหนด โดยต้องศึกษากฎหมายเรื่องระยะถอยร่น ขนาดพื้นที่ กฎหมายควบคุมอาคาร สาธารณภัย รวมถึงสาธารณูปโภคต่างๆ ด้วย
ก่อนจะเปิดเกสเฮาส์ หรือดัดแปลงบ้านให้เป็นที่พักอย่างเต็มตัวนั้นไม่เพียงแต่ต้องดูทิศทางในการทำธุรกิจเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาในเรื่องของทำเล กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งศึกษาในเรื่องกฎหมาย การรีโนเวทบ้านเพื่อทำเป็นเกสเฮาส์ การบริหารจัดการ รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ อย่าละเอียด รอบคอบ เพื่อให้เกสเฮาส์ของคุณเปิดดำเนินการได้ดีแบบไม่มีสะดุด