เทคโนโลยีได้ขับเคลื่อนโลกไปอย่างรวดเร็ว อำนวยความสะดวกให้กับผู้คนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการติดต่อสื่อสาร ซื้อขายสินค้า รวมไปถึงด้านวิศวกรรม และอุตสาหกรรมต่างๆ อีกด้วย
ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้ใช้กำลังผู้คนจำนวนมากในการผลิตสินค้าอย่างภาพจำของหลายๆ คนอีกต่อไป “Smart Factory” หรือโรงงานอัจฉริยะ ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับของการผลิต และคุณภาพสินค้า
บทความนี้จะพาคุณมารู้จักกับ Smart Factory ความแตกต่างจากโรงงานแบบปกติ และทำความเข้าใจกับระบบการทำงานของโรงงานในสมัยใหม่ให้มากขึ้น
Smart Factory คืออะไร
Smart Factory เป็นการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมที่นำเอาเทคโนโลยีเครื่องจักรต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT (Internet of Things) เข้ามาเพื่อบริหารจัดการภายในโรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างการทำงานที่เป็นระบบแบบอัตโนมัติ (Automation) ยกระดับคุณภาพของชิ้นงาน แต่ใช้กำลังคนที่น้อยลง
โดยผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการภายในโรงงานได้อย่างเป็นระบบ เข้าถึงได้แม้อยู่ในระยะไกล ไม่อยู่ในโรงงานก็ยังสามารถควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีปัญญาประดิษฐ์คอยประมวลผลการทำงานร่วมกับเครื่องจักร สามารถบันทึกข้อมูลสถิติต่างๆ ได้อย่างชัดเจน อย่างเช่น อุณหภูมิของเครื่องจักร อัตราและจำนวนการผลิต ชั่วโมงการทำงาน ฯลฯ ทำให้เมื่อเกิดความผิดพลาดก็สามารถที่ตรวจสอบจากชุดข้อมูลเหล่านี้ได้
ด้วยระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรียกโรงงานเหล่านี้ว่า Smart Factory นั่นเอง
ความแตกต่างของ Smart Factory กับโรงงานปกติ
ทีนี้เรามาขยายความกันว่า Smart Factory นั้นแตกต่างจากโรงงานแบบปกติทั่วไปอย่างไร มีอะไรที่เหนือกว่า และเหตุผลที่เราควรให้ความสำคัญกับโรงงานประเภทนี้
1. ลดจำนวนแรงงาน แต่กำลังในการผลิตไม่ลดลง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Smart Factory นั้นได้นำเทคโนโลยีเครื่องจักร และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการทำงาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานมนุษย์เท่าเดิม แต่ก็สามารถผลิตได้ในปริมาณเท่าเดิมหรือมากกว่า
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังไม่ต้องเป็นกังวลถึงความผิดพลาดของชิ้นงานจาก Human Error อีกด้วย ช่วยรักษามาตรฐานของโรงงานได้เป็นอย่างดี
2. สร้างกำไรได้ในระยะยาว
แม้ว่า Smart Factory จะใช้เงินทุนในการสร้างระบบที่ค่อนข้างสูง แต่หากมองในระยะยาว จะเห็นได้ว่าการลงทุนนี้คุ้มค่าแน่นอน
ปกติแล้วต้นทุนของโรงงานส่วนมากจะถูกนำไปใช้กับการจ้างแรงงาน แต่การนำเครื่องจักรเข้ามาควบคุมการผลิตภายในโรงงาน ทำให้จำนวนของพนักงานที่ต้องจ้างรายเดือนลดลง
ประกอบกับเครื่องจักรอุตสาหกรรมนั้นมีความทนทานสูง และมีอัตราซ่อมบำรุงที่ต่ำ เครื่องหนึ่งสามารถใช้ได้ยาวนานหลายปี เมื่อเทียบกับการจ่ายค่าพนักงานในทุกๆ เดือนแล้ว จึงสามารถสร้างกำไรได้ระยะยาวในอนาคตอย่างแน่นอน
3. เวลาในการผลิตที่ลดลง
อีกหนึ่งสิ่งที่เครื่องจักรสามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์นั่นก็คือความเร็วในการทำงาน เพราะมีข้อแตกต่างตรงที่เครื่องจักรนั้นสามารถทำงานได้เรื่อยๆ โดยไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
แม้ว่าจะต้องมีการพักเครื่องบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ยังนับว่ามีชั่วโมงในการทำงานที่นานกว่ามนุษย์ค่อนข้างมาก ช่วยยกระดับโรงงานขึ้นไปอีกขั้น ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาเหลือเฟือเพื่อนำไปพัฒนาส่วนอื่นๆ อีกมาก
4. ข้อมูลเชิงลึก เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือชั้น
อีกหนึ่งจุดแข็งของ Smart Factory นั่นก็คือความสามารถในการรวบรวมข้อมูล (Data) โดยข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้น สามารถนำมาใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานได้
ข้อมูลที่ได้มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากต่อการคำนวณแผนการผลิต โดยสามารถนำมาคิดคำนวณเพื่อมองหาแนวทางในการลดต้นทุน หรือปรับเปลี่ยนเพื่อร่นระยะเวลาการทำงานลงได้
5. ลดโอกาสในความผิดพลาด
หลายๆ คนน่าจะเคยได้เห็นข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นภายในโรงงานอยู่บ่อยครั้ง เช่น การบาดเจ็บเพราะเครื่องจักรต่างๆ ซึ่ง Smart Factory สามารถกลบข้อผิดพลาดในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
Smart Factory นั้นเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และวางแผนการทำงานภายในโรงงานให้ออกมาเป็นรูปแบบอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้อย่างแม่นยำ
ระบบ Automation ของเครื่องจักรนั้น หากมีการตั้งค่าที่ดีพอ ก็แทบจะไม่ต้องใช้แรงงานของมนุษย์เข้าไปร่วมทำงาน ทำให้โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นลดน้อยลงเป็นอย่างมาก
ในอดีตการมีโรงงานที่สามารถดำเนินการทุกอย่างได้เองอัตโนมัตินั้นเป็นเพียงเรื่องในฝัน แต่ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนั้นทำให้ Smart Factory สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพ สร้างผลกำไร และการเติบโตของโรงงานในอนาคต
แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการเริ่มที่ค่อนข้างสูง แต่ผลตอบแทนที่ได้มาถือว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างมาก