การศึกษาไทยในอนาคตกำลังขับเคลื่อนไปในทิศทางใดบ้าง เพราะปัจจุบันมีตัวเลือกในการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน จนทำให้การหาความรู้ไม่ได้ถูกจำกัดกรอบอีกต่อไป
หนึ่งในนั้นเป็นการเพิ่มขึ้นของการศึกษาแบบ Home School ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงปีหลังๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการศึกษาที่ผู้ปกครองสามารถสร้างรูปแบบของการศึกษาของลูกได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ตอบโจทย์ความรู้และความสามารถของเด็กได้มากที่สุด
ในบทความนี้มาทำความรู้จักกับการเรียนการสอนแบบ Home School กันให้มากขึ้น เพื่อเป็นไอเดียให้ผู้ปกครองที่กำลังมองหารูปแบบการเรียนรู้ ที่ตอบโจทย์ความสามารถให้กับลูกของตนเอง
ทำไม Home School ถึงได้รับความนิยม
การเรียนในระบบสถานศึกษาของไทย อาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ หรือเด็กที่สามารถเรียนได้ไวกว่าปกติ เพราะการเรียนในระบบของไทยจะมีการใช้ระยะเวลานาน จึงทำให้เด็กไม่มีเวลาไปพัฒนาทักษะที่ถนัดได้อย่างเต็มท่ี
แต่สำหรับ Home School โดยปกติแล้ว ในหนึ่งวันจะใช้เวลาไม่มาก จึงทำให้มีเวลาที่เหลือไปทำกิจกรรมที่เด็กสนใจหรือมีความถนัดเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็น
- กิจกรรมทางด้านดนตรี : เปียโน กีต้าร์ ไวโอลิน
- กิจกรรมทางด้านกีฬา : ว่ายน้ำ เทนนิส แบตมินตัน
- กิจกรรมทางด้านศิลปะ : วาดรูป ออกแบบ
เด็กที่เรียน Home School ต้องได้รับความใส่ใจมากเป็นพิเศษ
เด็กที่เรียนแบบ Home School ต้องได้รับความสนใจจากผู้ปกครองอย่างมาก เนื่องจากเป็นการเรียนอยู่ที่บ้าน ทำให้ต้องมีการความคุมวินัยของเด็กในช่วงที่เรียนอย่างเคร่งครัด เพราะเด็กอาจจะไม่ยอมเรียนหรือเสียสมาธิได้ง่าย
โดยทางผู้ปกครองเองต้องมีการเขียน ออกแบบหลักสูตรการศึกษาของเด็กให้เป็นระบบตลอดการศึกษา และต้องคอยประเมินผลการเรียนของเด็กให้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ด้วย
Home School ต่างจากการศึกษาในสถานศึกษาอย่างไร
เมื่อพอจะเข้าใจรูปแบบของการเรียนแบบ Home School แล้ว มาดูกันว่าการเรียนที่บ้านนั้น มีข้อแตกต่างจากการเรียนในระบบสถานศึกษายังไงบ้าง ซึ่งได้แก่
1. การสร้างหลักสูตรที่ยืดหยุ่น
การศึกษาแบบ Home School มีความยืดหยุ่นอย่างมากเนื่องจากผู้ปกครองสามารถเขียนหลักสูตรได้เองตลอดการศึกษา ทำให้สามารถเขียนหลักสูตรออกมาได้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กได้มากที่สุด ต่างจากการศึกษาในระบบที่มีการเขียนหลักสูตรเป็นแบบมาตรฐานออกมาอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนทุกคน
2. ประหยัดเวลา
การศึกษาแบบ Home School โดยปกติแล้วไม่ได้ใช้เวลาทั้งวัน เหมือนที่เรียนในสถานศึกษา และยังไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเพื่อไป-กลับโรงเรียน ทำให้นักเรียนสามารถนำเวลาที่เหลืออยู่ไปพักผ่อน หรือทำกิจกรรมอื่นที่สนใจได้หลากหลาย
3. ประหยัดค่าใช้จ่าย
ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้านต่างๆ ไม่กว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง เนื่องจากศึกษาอยู่ในบ้านทำให้ไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียน และเมื่อไม่ได้เดินทางไปเรียนที่สถานศึกษา ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อชุดนักเรียนด้วย
4. ผู้ปกครองสามารถใกล้ชิดกับนักเรียนได้มากขึ้น
การออกแบบการศึกษาเพื่อลูกให้เรียนที่บ้าน ทำให้ผู้ปกครองได้สนิทสนมกับลูกได้มากขึ้น และยังรู้ในความต้องการของลูก รวมถึงการช่วยทำให้เป้าหมายของลูกเป็นจริงได้ในอนาคต
นักเรียน Home School อยู่แต่บ้านทำให้ถูดตัดขาดสังคมหรือไม่
การเข้าสังคมเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ปกครองนั้นกังวลเมื่อลูกต้องเรียนแบบ Home School เพราะลูกต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนอยู่บ้าน จนกลัวว่าเด็กจะถูกตัดขาดจากสังคม
ซึ่งความจริงแล้วเด็กที่เรียน Home School นอกจากจะมีผู้ปกครองของตนเองอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ในวันที่ไม่ได้เรียนก็สามารถออกนอกบ้านไปหาเพื่อนในรุ่นเดียวกันได้เหมือนกัน หรือในวันที่ว่างก็ผู้ปกครองก็สามารถพาลูกออกนอกบ้านไปพบปะผู้คนในสังคม ก็ช่วยให้เด็กได้ฝึกการเข้าสังคมได้เช่นกัน
Home School จะเป็นการศึกษาในอนาคตสำหรับเด็กไทยได้หรือไม่
ผู้ปกครองหลายท่านอาจคิดว่าการ Home School ในไทยอาจทำให้ลูกเสียเปรียบเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษา และลูกจะได้รับวุฒิการศึกษาแบบนักเรียนในระบบปกติหรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วเรียนแบบ Home School มีวิธีได้รับวุฒิการศึกษาอยู่หลายวิธี ดังนี้
ติดต่อกับเขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่บริการที่อาศัยอยู่
สำหรับการทำ Home School ก่อนอื่นบ้านที่จะรองรับการเรียนรู้ของเด็กจะต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาก่อน โดยทำการติดต่อกับเขตพื้นที่การศึกษาใกล้บ้านเพื่อทำการจดทะเบียน
โดยสามารถจดทะเบียนได้เลยตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งการจดทะเบียนจะต้องทำการเขียนหลักสูตร ว่าจะทำการสอนอย่างไร เกณฑ์การให้คะแนน และเกณฑ์การประเมินว่าจะมีการประเมินอย่างไร พร้อมกับจะได้รับคำแนะนำว่าจะให้การศึกษาเป็นไปในทิศทางไหนจากเขตพื้นที่การศึกษา
ซึ่งเมื่อลูกเรียนได้ตามหลักสูตรที่ผ่านการรับรองแล้วก็ถือว่ามีวุฒิการศึกษาเทียบเท่ากับเด็กในระบบ
ติดต่อโรงเรียนที่สนใจ
ในปัจจุบันเราสามารถทำการฝากชื่อและจดทะเบียนกับโรงเรียนที่สนใจ ให้รองรับเด็ก Home School เพื่อทำข้อตกลงกับโรงเรียนให้ช่วยเหลือในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน และการประเมินในการเลื่อนชั้น
นอกจากนี้การฝากชื่อกับโรงเรียน อาจช่วยให้สามารถติดต่อขอเข้าไปใช้สถานที่ในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ห้องกิจกรรมในบางวิชา
ทำการสอบเลื่อนขั้นในหลักสูตรต่างประเทศ
หากหลักสูตรในไทยยังไม่ถูกใจคุณ เด็กสามารถสอบเทียบหลักสูตรในต่างประเทศได้ โดยเลือกสอบเทียบวุฒิการศึกษาเทียบเท่ามัธยมปลายได้ ซึ่งมีหลักสูตรดังนี้
GED : General Educational Development
หลักสูตรจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีเงื่อนไข ผู้สอบจะต้องมีอายุ 17 ปีขึ้นไป วิชาที่สอบจะมี 5 วิชา ได้แก่ การเขียน, การอ่าน, สังคมศึกษา, วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หากเมื่อสอบผ่านแล้วจะได้รับผลการศึกษาเป็นใบแจ้งผลการเรียน และใบประกาศจาก GED เพื่อเป็นหลักฐานในการศึกษา
IGCSE : International General Certificate of Secondary Education
หลักสูตรจากประเทศอังกฤษ มีความคล้ายกับ GED แตกต่างที่ไม่ได้กำหนดอายุของผู้สอบ โดยผู้สอบจะต้องทำการสอบให้ผ่านครบ 5 วิชา จาก 50 วิชา หากเมื่อสอบผ่านแล้วจะได้รับผลการศึกษาเป็นใบแจ้งผลการเรียน และใบประกาศ เพื่อเป็นหลักฐานในการศึกษาเทียบเท่าวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6
การศึกษาในรูปแบบ Home School ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเหมือนในอดีตอีกต่อไป คนที่มีความสนใจสามารถเข้าถึงได้ง่ายจากการใช้งานเทคโนโลยี ซึ่งหลังจากวิกฤต โควิด-19 อาจทำให้ Home School กลายมาเป็นการศึกษาไทยในอนาคตอันใกล้
เนื่องจากในช่วงปัจจุบันการศึกษาในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีประกาศปิดสถานศึกษาในหลายที่ เด็กนักเรียนต้องปรับตัวมาเรียนเองที่บ้านซึ่งทำให้ขาดประสิทธิภาพในการเรียน แต่สำหรับการเรียนในรูปแบบของ Home School นั้นก็ยังสามารถทำการเรียนและการสอนได้ตามปกติ